สวัสดี

ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มหัศจรรย์ น้ำมันกัญชาฆ่ามะเร็ง อดีตครูป่วยระยะ 4 ฟื้นขึ้นเดินได้  (อ่าน 1926 ครั้ง)

admin
  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 38790
    • ดูรายละเอียด
เป็นไปได้ อดีตครูที่อุบลราชธานี ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย หลังรักษามานานร่วม 11 ปี จนร่างกายไม่ตอบสนองเคมีบำบัด กลับมาบ้าน ใช้น้ำมันกัญชาหยอด จากเจียนตาย ลุกเดินกินข้าวกินน้ำได้เหมือนปกติ

จากที่มีการแชร์ภาพในโลกโซเชียล มีหญิงสูงอายุรายหนึ่ง ป่วยเป็นโรคมะเร็งนานกว่า 11 ปี กระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ครอบครัวหมดหนทางรักษา เพราะแพทย์ระบุว่าร่างกายผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้ว สามีจึงนำภรรยามารักษาด้วยน้ำมันกัญชาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่ถึงวันนี้จากสภาพที่ใกล้ตาย แต่กลับมีอาการดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์นั้น

เรื่องนี้ วันที่ 14 พ.ค. ผู้สื่อข่าวจังหวัดอุบลราชธานี ได้เข้าพิสูจน์ความจริงกับนางละม้าย ชาวชายโขง อายุ 65 ปี ข้าราชการครูบำนาญ พักอาศัยอยู่ในบ้านไผ่ใหญ่ ต.ไผ่ใหญ่ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี โดยนางละม้าย และนายวิเชียร สองสามีภรรยาเล่าให้ฟังว่า เริ่มมีอาการป่วยไม่ทราบสาเหตุเมื่อปี 2552 ได้เดินทางเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ซึ่งขณะนั้นแพทย์สงสัยจากป่วยเป็นไทรอยด์ หรือทอนซิล เพราะมีอาการเหนื่อยและรู้สึกผิดปกติบริเวณลำคอ แต่เมื่อแพทย์นำชิ้นเนื้อไปตรวจก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ยังมีอาการป่วย ลูกที่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงพาไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2553

กระทั่งทราบว่า นางละม้ายป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอด้านซ้าย แพทย์จึงส่งไปให้แพทย์เฉพาะทางช่วยรักษา โดยทำการผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อร้ายออก พร้อมทำการรักษาด้วยเคมีบำบัดควบคู่กันไป


นางละม้าย ซึ่งเป็นครูสอนโรงเรียนประถมในอำเภอม่วงสามสิบ จึงได้เออรี่ออกจากราชการมารักษาตัว เพราะต้องไปพบแพทย์ตามที่นัดทุกครั้ง ปรากฏปี 2557 กลับมีอาการป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอีก และอาการป่วยเริ่มลามไปยังบริเวณไหล่ แพทย์วินิจฉัยป่วยจากเชื้อมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง จึงต้องรับเคมีบำบัดและเข้ารับการตรวจรักษาต่อเนื่องจนถึงปี 2559

ต่อมาในปี 2561 พบว่าอาการป่วยของนางละม้ายได้ลุกลามเพิ่มขึ้นจากการป่วยเป็นมะเร็งระยะที่ 2 และ 3 กลายเป็นป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายในขั้นที่ 4 เพราะเชื้อได้ลามเข้าไปในทรวงอกและบริเวณหน้าท้อง ต้องเข้ารับเคมีบำบัดเป็นระยะตามแพทย์สั่ง

กระทั่งต้นเดือนเมษายน 2562 แพทย์ที่ให้การรักษาระบุว่า ร่างกายของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการทำคีโมแล้ว พร้อมส่งตัวให้ไปทำการรักษาด้วยการฉายแสง แต่ปรากฏระหว่างนั้นสภาพร่างกายผู้ป่วยเริ่มทรุดอย่างหนัก และมีเกล็ดเลือดต่ำ แพทย์จึงนัดให้มาทำการฉายแสงในเดือนมิถุนายนที่จะถึง นางละม้าย จึงบอกกับนายวิเชียร ชาวชายโขง สามีให้นำตนเองกลับมาตายที่บ้าน เพราะมีอาการหนัก มีไข้สูง กินน้ำและอาหารไม่ได้เลย

นายวิเชียร จึงตัดสินใจโทรศัพท์สอบถามคนรู้จักที่เคยแนะนำให้ลองนำน้ำมันกัญชาสกัดใช้รักษามะเร็ง เพราะเป็นหนทางสุดท้ายที่จะช่วยภรรยาของตนเอาไว้ได้ เมื่อได้รับน้ำมันกัญชาสกัดมาจากเพื่อน และกำลังนำภรรยาขึ้นรถกลับบ้านเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ระหว่างทางได้หยอดน้ำมันกัญชาให้ภรรยาอมไว้ใต้ลิ้น เมื่อกลับมาถึงบ้านปรากฏอาการไข้ของนางละม้ายที่มีไข้สูง 35 องศาเซลเซียส ติดต่อกันมา 8-9 วัน ได้หายไป รวมทั้งนางละม้ายมีสีหน้าดีขึ้น ไม่มีอาการเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนช่วงที่ยังอยู่กรุงเทพฯ

ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้ให้น้ำมันกัญชาให้นางละม้ายอมไว้ใต้ลิ้น รวมทั้งนำน้ำมันมาทาบริเวณแผลติดต่อกันราว 2 สัปดาห์ อาการปวดบวมจากแผลของมะเร็งที่แตกและลุกลามจากลำคอฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่ง และยังลามไปบริเวณทรวงอก ก็ลดลงอย่างน่ามหัศจรรย์ ซึ่งขณะนั้นใช้นำมันกัญชาไปได้ราว 15 ซีซี จึงขอน้ำมันกัญชาจากเพื่อนมาใช้รักษาเพิ่ม


จนถึงวันนี้ ใช้น้ำมันกัญชาไปแล้วเกือบ 30 ซีซี ปรากฏนางละม้ายภรรยา ซึ่งเมื่อกลางเดือนเมษายนยังมีอาการทรุดหนัก และเพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมทุกคนต่างบอกว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน สามารถลุกขึ้นมากินข้าวกินน้ำได้ตามปกติ แผลที่เคยปวดบวมบริเวณลำคอและลามไปถึงหน้าอก ก็ยุบหายไปทั้งหมด โดยวันนี้ นางละม้ายสามารถเดินออกไปเก็บเห็ดจากป่าในหมู่บ้านเพื่อนำมาทำกินได้แล้ว

ส่วนน้ำมันกัญชาที่เหลือ ยังจะนำมาใช้รักษาอาการต่อไป จนกว่าจะครบ 90 วัน ตามที่ได้รับคำแนะนำคือ ให้ใช้น้ำมันกัญชารักษาโรคนี้ราว 60 ซีซี ใน 90 วัน เมื่อถึงเดือนมิถุนายนก็จะเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่นัดดูอาการ เพื่อให้ตรวจดูเกล็ดเลือด แต่คงไม่ฉายแสงตามที่เคยได้รับคำแนะนำแล้ว เพราะเชื่อว่า การใช้น้ำมันกัญชาสามารถหายป่วยจากโรคนี้ได้

ด้านนางละม้ายกล่าวว่า ตลอดช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวต้องใช้เงินรักษาอาการป่วยของตนไปจำนวนหลายล้านบาท ขณะที่ป่วยหนักในระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกกลัวที่จะต้องตาย คิดเพียงอยากมีโอกาสหายและกลับมาบวชชีอีกสักครั้งเท่านั้น และอยากรู้ว่าการตายนั้นต้องเจ็บปวดอย่างไรด้วย แต่เมื่อวันนี้ยังมีชีวิตอยู่จึงอยากให้รัฐบาลให้โอกาสคนป่วยได้ใช้น้ำมันกัญชาเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง เพราะตนใช้อย่างได้ผลมาแล้ว

ขณะที่ นายวิเชียร ที่เป็นสามีระบุว่า ตอนแรกไม่เคยคิดเอาน้ำมันกัญชามารักษาภรรยา เพราะเห็นว่าการรักษาด้วยการผ่าตัดและใช้เคมีบำบัด ก็ช่วยรักษาอาการป่วยได้ แต่ก็ปรากฏเหมือนตัดต้นไม้แต่ยังเหลือราก ตัดออกแล้วแต่ก็กลับมาป่วยได้อีก ตลอดช่วงที่ผ่านมาตนต้องลาออกจากงานบริษัทเอกชนเพื่อมาดูแลภรรยาที่ป่วยกว่า 10 ปี แต่การรักษาก็ไม่ได้หายอย่างเด็ดขาด

"มาวันนี้ อยากเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้โอกาสคนป่วยมีทางเลือกในการรักษา อย่าให้คนป่วยต้องตกอยู่ในสภาพไม่มีทางเลือก โดยต้องใช้ยาเคมีที่อาจเป็นธุรกิจของคนบางกลุ่ม แต่คนรับกรรมคือคนที่มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ไปขอขึ้นทะเบียนมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อรักษาอาการป่วยแล้ว ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะกลายเป็นข่าว เพราะคนที่รู้จักกันในกลุ่มสอบถามที่นำต้นกัญชามาลูก ก็บอกจะปลูกเพื่อเอาใบสดไปต้มเป็นน้ำชาให้ภรรยากิน นึกไม่ถึงจะมีการนำออกไปแชร์ในเฟซบุ๊กจนเป็นข่าวในขณะนี้"

น.ส.ชลิตตรา สิงห์อ่อน เพื่อนบ้านของนางละม้าย เล่าว่า ทราบอาการป่วยของอาจารย์มานานหลายปี ตอนที่ยังไม่ป่วยหนัก ก็ยังพูดจาได้ กระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อนายวิเชียรนำอาจารย์ละม้ายกลับมาที่บ้านใหม่ๆ ได้เข้าไปเยี่ยมดูอาการ ช่วงนั้นนางละม้ายยังพูดไม่ได้ เพราะมีอาการเจ็บบริเวณลำคอ ซึ่งตนก็คิดว่านางละม้ายมีอาการหนักกว่าทุกครั้งที่เห็น แต่เวลาผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ เห็นนางละม้ายมีอาการดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จากกินข้าวกินน้ำไม่ได้ ก็กินได้ และต่อมาก็ออกเดินเหินนอกบ้านและพูดคุยได้ จึงสอบถามนายวิเชียร บอกว่าใช้น้ำมันกัญชารักษาอาการป่วย ตนเองก็รู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นอย่างนี้คาดว่าอาจารย์ละม้ายก็คงมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนานแน่นอน.

.ขอบคุณบทความดีๆจาก https://www.thairath.co.th/